เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ มี.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นยุคเป็นสมัยนะ เป็นยุคเป็นสมัยของคน เวลาการเกิด ในมงคล ๓๘ ประการ มงคลชีวิตไง เกิดในประเทศอันสมควรมันมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเกิดในพ่อแม่ เราเกิดกับพ่อแม่คนใด พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เราไปเกิดพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่ดีจะรวยจะจนไม่สำคัญ สำคัญว่าพ่อแม่พาเราเป็นคนดี นี่ประเทศอันสมควร แดนเกิดคือแม่ แดนเกิดคือพ่อ ลูกนี้เกิดจากพ่อจากแม่ นี่แดนเกิดเห็นไหม

แล้วแดนเกิดในประเทศล่ะ ดูสิ ในโลกนี้เราบอกเลย เราอยู่ในสังคมไทย เราว่าศาสนาเราเป็นอย่างนี้ ๆ เวลาคนออกไปต่างประเทศนะ ในลัทธิ ในศาสนาของเขา มันเป็นแบบว่า ดูสิ ดูทางยุโรปเขา เรื่องศาสนาของเขา วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้ว เป็นอันที่ไม่น่าเชื่อถือเลย เวลาเห็นเขาไปศาสนากัน มีพระมาบวชในศาสนาพุทธเรานะ เขาบอกว่า “เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ แล้วพอวันอาทิตย์ เด็กมันไปโบสถ์กัน เขาก็สงสัยว่าไปโบสถ์ทำไม?”

เขาก็ไปศึกษา ยิ่งศึกษาไปแล้วมันก็ทำให้เกิดการค้นคว้า พอค้นคว้าไปค้นคว้ามา พอค้นคว้าในศาสนาพุทธ เขาทึ่งในศาสนาพุทธมาก เขาเป็นศาสตราจารย์นะ เขาลาออกเลย เขามาบวชเป็นพระ แล้วมาประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร? เพราะในศาสนาพุทธเรานี่มันเข้าไปพิสูจน์แล้ว ยิ่งศึกษามันยิ่งน่าสนใจไง มันน่าสนใจคือว่ามันพิสูจน์ได้ มันเป็นหลักสัจจะ มันเป็นความจริง

สิ่งที่สัจจะเป็นความจริงนี่เกิดในประเทศอันสมควร สมควรที่ไหน? เกิดในประเทศที่ศาสนาไง เวลาเทวดาเขาจะหมดอายุขัยของเขา เขาให้พรกัน เวลาตายจากเทวดาไป ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วได้ทำบุญกุศล ถ้าเราไปทำบุญกุศล เราสละทาน สละทานมีศรัทธาความเชื่อ สละทานออกไป อย่างนี้มันเป็นกำปั้นทุบดิน เพราะอะไร? เพราะการสละออกไปจากมือของเรานี่ คนที่ได้รับนั้นเป็นประโยชน์เห็นไหม อันนี้เป็นบุญกุศลโดยธรรมชาติไง

เวลาพระเจ้าพิมพิสารถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “บุญคืออะไร? ทำบุญคือทำอย่างไร?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “แม้แต่เราล้างถ้วยล้างจานนะ เราสาดน้ำไปในน้ำครำ พวกสัตว์ต่าง ๆ เขาได้กินอาหารของเรา นั้นก็เป็นบุญเหมือนกัน เป็นทานเหมือนกัน”

ทานทำกับใครก็ได้ แต่ขณะในศาสนาพุทธของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่หูตาสว่าง เพราะถ้าจะเอาผลล่ะ? ถ้าผลต้องคิดกันเนื้อนาไง ว่าสิ่งที่ตอบสนองขนาดไหน นี่ปฏิคาหก ผู้ให้ไง เราหามา ทรัพย์สมบัติของเราหามาด้วยความบริสุทธิ์ กับทรัพย์สมบัติที่หามาด้วยความไม่บริสุทธิ์ ทำบุญมันต่างกันตรงนี้ไง

ขณะที่ให้ สิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ เราตั้งใจบริสุทธิ์ แล้วเราให้แล้ว เราให้ความบริสุทธิ์ ผู้รับเห็นไหม ผู้รับเนื้อนาบุญ เขาเนื้อนาที่ดี เจตนาที่ดี ทำเป็นคุณประโยชน์ที่ดี ปฏิคาหกอย่างนี้จะได้บุญกุศลมาก นี้เป็นเรื่องของโลก ๆ นะ สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกก็นี่ในประเทศอันสมควร สิ่งที่ทำในประเทศอันสมควร มันเกิดประโยชน์อย่างนี้ขึ้นมาไง

เรามาทำทานกัน เป็นสิ่งที่ว่าเป็นบุญกุศล กำปั้นทุบดินเห็นไหม แล้วเราก็มีศีล มีศีลเพราะอะไร? เพราะเราทำทานขึ้นไปแล้ว พอเราฟังธรรม เราก็อยากมีคุณงามความดีที่สูงไปกว่านี้ เวลาเราสวดมนต์กันเห็นไหม ความดีที่เจริญขึ้นไป มันยังมีอยู่ตลอดไป เราถึงจะทำความดีถึงที่สุดไง ความดีถึงที่สุด สูงสุดสู่สามัญ

เราพยายามเห็นคนมีอำนาจ เวลาคนมีเงินทอง เขานึกว่าเขามีความสุข ๆ เราพยายามแสวงหาไปกับเขา ความรับผิดชอบนะ คนรับผิดชอบน้อยก็เป็นภาระน้อย คนรับผิดชอบมากก็เป็นภาระมาก ความรับผิดชอบมากขนาดไหน มันก็กดถ่วงจิตใจ เพราะจิตใจนี่เป็นภาระ ต้องไปแบกรับภาระสิ่งนั้น ยิ่งมีมากขนาดไหน มันก็แบกทุกข์ขนาดนั้น แต่เรามองด้วยกิเลส สิ่งที่มีตำแหน่ง มีหน้าที่มาก ต้องเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราเกิดในประเทศอันสมควร แล้วจิตใจเราเข้มแข็งนะ

ดูสิ ถ้าเราเป็นคนดี เราไปบนถนนหนทาง สิ่งที่กีดขวางเราจะเอาออกจากถนนไหม เพื่อจะให้คนที่เขาสัญจรไปมามีความสะดวกสบาย คนที่เห็นแก่ตัวนะ สิ่งที่กีดขวางมันก็เอาตัวรอดมันไป มันไปของมัน นี่มันวัดกันด้วยความรู้สึกในฐานะของใจ ใจมีความรับผิดชอบมากน้อยขนาดไหน ถ้าใจมีฐานะรับผิดชอบมาก เขาจะทำประโยชน์กับสังคมนะ

เวลาพวกเทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เทวดามีจริงหรือเปล่า?”

พวกโยมมาถามว่า “มีเทวดาจริงหรือเปล่า?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อย่าถามว่าเทวดาหรือพระอินทร์มีหรือเปล่า เหตุที่ให้เกิดเทวดา เกิดพระอินทร์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังรู้เลย”

เราทำแหล่งน้ำ ถนนหนทาง ทำสาธารณะประโยชน์ สาธารณะประโยชน์เพราะอะไร? เพราะคนเขาได้ใช้ประโยชน์สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับสังคม เวลาตายจากชาตินี้ไป เราจะเป็นหัวหน้าเขา เราจะเป็นผู้ปกครองเขา สิ่งนี้มันจะเป็นพระอินทร์ เป็นสิ่งที่ปกครองเทวดา เพราะสิ่งนี้สาธารณะประโยชน์ ถ้าเราสละตรงนี้มันจะได้ประโยชน์อย่างนั้น ไอ้นี่การเกิดและการตายในวัฏฏะนะ

แล้วถ้าเราศึกษาเข้าไป เราจะเห็นสภาวะแบบนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญานี่ ปัญญาที่เขาว่ามีปัญญากัน คนโกงนี่ คนโกงขนาดไหน ปัญญาดีมาก ความคิดของเขาดีมาก เขามีเชาวน์ปัญญาของเขามาก เขาแสวงหาเพื่อประโยชน์ของเขา นี่เป็นมิจฉา เป็นอกุศล ปัญญามันมีลบและมีบวก ถ้าเป็นความลบมันทำลายสังคมได้หมดเลย

สัตว์นะ เวลาเลี้ยงสัตว์ มันจะทำลายกัน มันมีแต่เขี้ยวมีแต่เขาที่มันทำลายกัน มนุษย์นี่ความคิดทำลายมากเลย หลอกลวง ปลิ้นปล้อน มนุษย์ทำลายกันมหาศาลเลย มันทำลาย มันจะยึดครองโลก เวลามันเกิดสงครามกันขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะความคิดอันนี้มันอยากจะทำลายเขา นี่ปัญญาอย่างนี้หรือเป็นประโยชน์ แต่มันก็ว่าเป็นประโยชน์กับตัวมันเอง เพราะอะไร? เพราะมันอยากยึดครอง อยากมีอำนาจใช่ไหม นี่ที่ว่าเป็นประโยชน์กับเขา นั่นกิเลสล้วน ๆ เลย

เพราะอะไร? เพราะการกระทำนะ ชนะศึกหมื่นแสน ชนะขนาดไหนสร้างเวรสร้างกรรม คนที่โดนเราหลอกไป เขารู้ทีหลังเขาก็จะเจ็บแค้นของเขา เราไปยึดครองใคร เราทำลายครอบครัวใคร เราไปฉ้อฉลใคร เขาจะมีความเจ็บปวดทั้งนั้นล่ะ เราจะยึดมาขนาดไหนนี่สร้างเวรสร้างกรรม แล้วตายไปมันได้ประโยชน์อะไรล่ะ?

แต่ถ้าเห็นไหม ดูสิ ดูพระเจ้าอโศกมหาราช เวลาเผยแผ่ เวลาทางอาณาจักร ทำศึกตลอดไปเลย สุดท้ายสลดใจ เวลารบกับเขาไปมันต้องไปยึดครองเขา ต้องปกครองเขา แต่ถ้าเราจะปกครองโดยธรรม นี่ถึงได้สละเลย มาส่งเสริมพระพุทธศาสนา แล้วให้พระออกไปเผยแผ่ธรรม คนเผยแผ่ธรรม จิตใจเขามีความสุข เราจะรู้คุณนะ

ดูสิ เราเป็นเด็ก เราก็คิดว่าพ่อแม่จ้ำจี้จ้ำไช จะเบื่อหน่ายมากเลย แต่เราโตขึ้นมาเราจะซึ้งใจ ซึ้งคุณของพ่อแม่มากเลย เพราะอะไร? เพราะขณะที่เราเติบโตขึ้นมา เราต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ เราจะอยู่ในสังคม ถ้าพ่อแม่สอนเรามาดี พ่อแม่เตือนเรามาดี ตอนเด็กเราขยันหมั่นเพียร เราพยายามศึกษา เราจะเป็นประโยชน์มากเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเผยแผ่ธรรมไปนะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่มาศึกษาธรรมขึ้นมาทำไมเขาจะไม่กราบ เขาจะไม่ซึ้งใจล่ะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เขาได้ประโยชน์ไป ได้ประโยชน์ไปจากใคร ใครเป็นคนแสวงหามา ดูสิ พระมหินทร์ลูกของพระเจ้าอโศก ขณะที่พระเจ้าอโศกไปถามอาจารย์ของเขาว่า “อยากเป็นญาติกับศาสนา” เพราะเผยแผ่ธรรมไป ทำบุญก็อยากทำให้มากขึ้น ๆ บอกว่า

“สร้างวัด ๘๔,๐๐๐ วัดนี่เป็นญาติกับศาสนาหรือยัง?”

“ยัง ต้องเอาสายเลือดมาบวช”

ถึงขอร้องให้ลูกมาบวช ลูกบวชแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เวลาเข้าสมาบัติ เข้านิโรธสมาบัติมีความสุขมาก เข้าถึงเวลาเป็นพระอรหันต์มันก็สุขมหาศาลอยู่แล้ว แต่เวลาออกมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน จิตที่เป็นนิพพาน จิตที่เป็นวิมุตตินี่มันพ้นออกไปจากโลกสมมุติทั้งหมด

แล้วนี่สมาบัติ รูปฌาน อรูปฌาน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เวลาเข้าไปจิตมันมีพลังงาน เวลาพระมหินทร์ เห็นไหม จิตนี้เป็นพระอรหันต์ แต่เวลาเข้าสมาบัติแล้วมีความสุขมาก วิมุตติสุข “สุขนี้ได้มาจากใคร? สุขนี้ได้มาจากใคร?” เพราะพ่อขอร้องให้บวชนะ ถ้าพ่อไม่ได้ขอร้องให้บวชก็ยังไม่ได้คิดว่าอยากจะบวช แต่บวชแล้วได้ความสุขมานี่คิดถึงพ่อ คิดถึงมาก คิดถึงผู้ที่ให้คุณประโยชน์กับเรา แล้วพ่อนี้ขอร้องให้บวช

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมนี้เป็นของใคร? ธรรมนี้เป็นของใคร? ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกเราจะศึกษาขนาดไหน ว่าเป็นโลกุตตรปัญญา ทุกคนก็ว่ามีปัญญา ว่าเราใช้ปัญญากันๆ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาวิชาชีพ ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสถิติ ปัญญาเป็นปรัชญา ปัญญาอย่างนี้ ตรรกะอย่างนี้แก้กิเลสไม่ได้หรอก มีมากมีน้อยขนาดไหน ก็เกิดความลังเลสงสัย เกิดวิตก วิจาร เกิดความยึดมั่นถือมั่น เกิดปฏิเสธ เกิดการตอบรับ

แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญาล่ะ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิดนี้ แล้วมันมีปัญญาอีกตัวหนึ่ง มันรู้เท่าทันความคิดของเรา เราคิดจะเบียดเบียนเขา เราคิดจะเอาเปรียบเขานี่ มันเป็นปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญา มันจะรู้ทัน เราจะสร้างเวรสร้างกรรมหรือ? เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราสละออกไป เราช่วยเหลือเจือจานเขา เราจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย

ประโยชน์มหาศาลเพราะอะไร? เพราะเขาจะยิ้มแย้มแจ่มใสกับเรา เขาจะได้ประโยชน์จากเรา เราเป็นผู้ให้เขา เขาจะตอบสนองเราด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างนี้ เรามองสบตากันนะ แล้วสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์มันจะซึ้งใจมาก นี้เป็นเรื่องปัจจุบันนะ แล้วผลที่มันตกผลึกขึ้นมาเพราะบุญกุศล มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะความจริง หัวใจที่มันสละออกขนาดไหน มันจะไปเอาสิ่งที่หมักหมมในหัวใจนั้นออกไป จิตใจจะเบาขึ้นตลอดไป มันจะเกิดสถานะที่ว่าสูงขึ้น ๆ มันจะเกิดเป็นต่าง ๆ ถ้ามันยังเกิดต่อไป

แต่ถ้าเกิดโลกุตตรปัญญาล่ะ ปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร จะเบียดเบียนเขา ปัญญามันก็รู้ทัน สติมันก็รู้ทัน แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะย่อยสลายความคิดของที่ว่าเป็นตรรกะ เป็นปรัชญานี่ สิ่งนี้มันแก้กิเลสไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสอง มันเป็นสังขาร มันเป็นสังขารกับจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน สองหมายถึงว่ามันมีความสัมพันธ์กัน มันมีการกระทบกระเทือนกัน

แต่ถ้าโลกุตตรปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากเอกัคคตารมณ์ เกิดในจิต จิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นหนึ่งเดียว จิตที่เป็นหนึ่งเดียวมันไม่มีการตอบสนอง มันไม่มีขั้วบวกหรือว่าขั้วลบ สิ่งที่เป็นขั้วบวกขั้วลบมันเป็นพลังงานออกมาจากภายนอก อันนั้นเป็นโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้ถ้ามีสติควบคุมไปมันก็จะเป็นประโยชน์ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นมรรค เป็นมรรคหมายถึงว่า เราสร้างคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ให้จิตนี้มันเจริญงอกงามขึ้นไป ให้จิตนี้เข้มแข็งขึ้นมา เพราะได้ฝึกฝนอย่างนี้มาก ๆ เข้า จิตมันจะเข้มแข็งขึ้นมา มันเป็นยุทธศาสตร์

ยุทธวิธีคือความคิด สิ่งที่กระทำมันชั่วครั้งชั่วคราว ยุทธศาสตร์หลักของมันคือหลักของจิตตัวนี้ ตัวจิตนี้มันได้พัฒนาของมันขึ้นมา มันจะเข้มแข็งของมันขึ้นมา แล้ววิปัสสนาขึ้นมาปัญญาจะย้อนกลับเข้ามาในตัวมันเอง แล้วพอย้อนกลับเข้ามาในตัวมันเอง ไอ้ยุทธศาสตร์ตัวนี้มันจะมีปัญญาของมันอีกตัวหนึ่ง ปัญญาตัวนี้เกิดมาคือโลกุตตรปัญญา ไม่ใช่ปัญญาจากสมอง ไม่ใช่ปัญญาจากความคิดอย่างนี้ ปัญญาจากความคิดอย่างนี้ มันสื่อสารกันมันก็ได้

แม้แต่ทางการแพทย์ จิตนี่เวลาเขาตรวจหัวใจ คลื่นหัวใจเขายังสามารถพิสูจน์ได้เลยว่าคลื่นหัวใจมันทำงานอย่างไร มันมีสูงมีต่ำขนาดไหน แต่ถ้าปัญญาจากภายในเอาอะไรไปตรวจมัน? ถ้าไม่ใช่อริยสัจจะเอาอะไรไปตรวจมัน จะเอาอะไรเข้าไปทำลายมัน นี่คือโลกุตตรปัญญาไง ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระมหินทร์ที่เวลาพระเจ้าอโศกขอร้องให้บวช อันนี้เป็นเรื่องของแดนเกิด เป็นเรื่องของมงคล ๓๘ ประการ

แต่ขณะเกิดอริยสัจขึ้นมานี่มันต้องเกิดจากหัวใจของเรา ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ไม่มีใครจะตอบสนองเราได้ มันไม่ใช่หัวโขนนี่ ทุกคนก็สวมหัวโขนให้กันได้ ทุกคนก็ตั้งตำแหน่งให้กันได้ แต่อริยสัจใครจะตั้งตำแหน่งให้เราได้ แม้แต่ธรรมขึ้นมา จะธรรมเกิดในหัวใจก็ต้องทำของเราเอง โลกุตตรปัญญาอย่างนี้ มันเกิดอริยสัจอย่างนี้ มันเกิดเป็นมรรคญาณอย่างนี้ มันจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน

ธรรมอย่างนี้มาจากไหน? ธรรมอย่างนี้มาจากไหน? ธรรมอย่างนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราส่งเสริมเราขึ้นมา เกิดจากปัญญาของเรา มันชำระกิเลสมาจากภายใน สิ่งที่ภายใน สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากเป็นสันทิฏฐิโกจากใจดวงนั้น มันหลอกกันไม่ได้นะ โลกนี้ไม่มีความลับ ความลับโลกนี้ไม่มี การกระทำไม่มีใครเห็นกับเรา เราก็เป็นคนทำ ที่ว่าขั้วบวกขั้วลบ ตัวจิตกับตัวความรู้สึกมันการกระทำ มันเกิดจากใจเราตลอดไป

แต่ขณะที่เป็นสันทิฏฐิโกที่มันเข้าไปทำลายตัวมันเอง มันก็เป็นความรู้จากสันทิฏฐิโก คือความรู้จริงจากหัวใจนี่ มันหลอกลวงกันไม่ได้ ถ้ายังมีความลังเลสงสัย ถ้ายังไม่เข้าใจสัจจะความจริง กิเลสมันยังมีอยู่ แต่ถ้าไปทำความสว่างกระจ่างแจ้งอย่างนี้ออกไป มันชำระออกไปจากกิเลสอย่างนี้ นี่เป็นสันทิฏฐิโก รู้จากใจดวงนั้นไง

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากธรรม ธรรมในหัวใจ ภาชนะที่จะใส่ธรรม แม้แต่ยุคที่ว่าไม่มีการสื่อสาร ไม่มีหนังสือ ไม่มีการพิมพ์ตัวอักษร ก็สื่อธรรมะกันด้วยปาก แต่เวลาจากสัจจะความจริง เวลามีหนังสือจารึกลงในใบลาน จารึกลงในหนังสือ สิ่งนี้ก็เป็นว่านี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ในคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้มันเป็นกิริยา มันเป็นอาการของใจ มันไม่ใช่ใจ

ภาชนะความจริงที่จะใส่ธรรมคือหัวใจ ความรู้สึกตัวนี้ ถ้าความรู้สึกตัวนี้เข้าไปสัมผัสจริง กระดาษมันก็เป็นกระดาษ เป็นกิริยา เป็นแผนที่ เป็นเครื่องดำเนิน เป็นทฤษฎี แต่สัจจะความจริงมันเกิดมาจากตรงนี้ แล้วถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากสัจจะความจริง ความลับไม่มีในโลก ถ้าจิตดวงนี้มันไม่มีการเคลื่อนไหว จิตดวงนี้มันคงที่ของมัน มันจะทำอกุศลได้อย่างไร มันจะขับเคลื่อนได้อย่างไร เพราะเสวยอารมณ์ ความสุขเกิดขึ้นมาเห็นไหม

อย่างเรานอนหลับ เราไม่ทำสิ่งใดเลย คนจะทำงานต้องตื่นขึ้นมาใช่ไหม ขณะที่ตื่นขึ้นมาเราลุกขึ้นมาแล้วเราจะทำอะไร เราคิดเลย นั่นน่ะความคิดมันเริ่มต้นอย่างนี้เหมือนกัน ขณะที่มันจะออกมาจากฐีติจิต จากจิตที่วิมุตติจิตออกมาอย่างนี้ มันเสวยอารมณ์ แล้วมันจะผิดไปจากไหนเพราะมันมีสติพร้อมตลอดไป นี้คือความจริง สัจจะความจริงจากภายในไง

นี่คือสภาวธรรมนะ สิ่งที่เป็นคุณงามความดีของใจ มันจะพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ ถึงว่าเป็นคนที่ไม่จับจด เป็นคนที่เห็นประโยชน์ มันจะเก็บประโยชน์ไปในโลกนี้ทั้งหมด ในโลกนี้มีโลกกับธรรมซ้อนกันอยู่ โลกคือสิ่งที่อาศัยของโลก ธรรมคือหัวใจ หัวใจที่มันยังเกิดตายซ้อนเข้าไปนะเพราะอะไร? เพราะมันหมุนไปในวัฏฏะ มันหมุนไปในนรกสวรรค์ หมุนมาเกิดเป็นมนุษย์ ใจดวงนี้มันซ้อนกันอยู่

ถ้ามีธรรมตัวนี้ ถ้าเข้าถึงธรรมตัวนี้ ตัวนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะอะไร? โลกนี้เป็นสมมุติทั้งหมดเลย โลกนี้เป็นสิ่งที่สมมุติ เป็นอนิจจัง ชั่วคราวหมดเลย แต่มันเป็นความจริง เพราะอะไร? เพราะถ้าเราได้ส่งเสริม ได้มีการกระทำ เราจะสร้างบุญกุศลกับเรา จริง มันเป็นสมมุติแล้วเราไม่สนใจมันเลย อย่างเช่นอาหารนี่มันก็เป็นสมมุตินะ เรากินเข้าไปในร่างกายของเรา มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าว่าเป็นสมมุติเราไม่กินอาหาร เราจะดำรงชีวิตได้อย่างไร

โลกก็เป็นเหมือนกัน เป็นสมมุติแต่เราก็อยู่ในสมมุติ จริงโดยสมมุติ นี่สมมุติสัจจะความจริง สมมุติเราก็อยู่กับสมมุติ แล้วเวลาเราปฏิบัติขึ้นมา มันก็เป็นบัญญัติ บัญญัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา มันก็ยังเป็นสมมุติอยู่ แต่สมมุติที่ละเอียดขึ้นไป แล้วถ้าเกิดเป็นวิมุตตินี่ มันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ที่ใจของเรา อย่างนี้เราฉลาด

เรามีคนที่ฉลาด เราเป็นคนที่เก็บประโยชน์จากชีวิตของเรา ชีวิตของเรามันจะเริ่มต้นจากนับ ๑ ๒ ๓ ขึ้นไป เริ่มต้นตั้งแต่เด็กอ่อน จากมีการศึกษา เกิดจากเลี้ยงดูจากพ่อจากแม่ เห็นไหม ประเทศอันสมควร รักษาพ่อรักษาแม่ก็เป็นประเทศในแดนเกิด รักษาชาติบ้านเมืองก็เป็นประเทศของธรรม คือศาสนาตั้งอยู่บนอาณาจักร ศาสนจักร พุทธจักรมันตั้งอยู่ในอาณาจักร ถ้าเรา... (เทปขัดข้อง) ...เพราะอะไร? ส่งต่อกัน

ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ถ้าศาสนาพุทธเกิดจากที่นี่ เราช่วยกันส่งเสริมกันที่นี่ บุญกุศลจะย้อนกลับมาที่ใจเรา ย้อนกลับมาที่ใจเรา สังคมก็สงบร่มเย็น การประพฤติปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้นมา สิ่งใด ๆ นี่สัปปายะไง สรรพสิ่งล้วนแต่ดีไปหมดเลย เราอยู่ที่บรรยากาศที่ดี เราไปอยู่ที่ส่วนที่ดี การคิดความนึกคิดก็จะดีขึ้นมา เราไปอยู่ในที่เดือดร้อน ความคิดขึ้นมามันก็ต้องเดือดร้อนเป็นธรรมดา นี่คือเรื่องของแดนเกิดจากภายนอกจากภายใน แล้วแต่คนจะเก็บประโยชน์นะ เอวัง